Carbon footprint คือ

 หมายถึง ปริมาณของก๊าซเรือนกระจกที่ถูกปล่อยออกมาจากกิจกรรมของบุคคลหรือองค์กร ซึ่งส่วนใหญ่จะเกี่ยวข้องกับการใช้พลังงานจากแหล่งที่มีการสร้างก๊าซเรือนกระจก เช่น การใช้ไฟฟ้าจากการเผาน้ำมันหรือถ่านหิน การขับรถยนต์ที่ใช้น้ำมันหรือการบิน การผลิตสินค้า และกิจกรรมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเผาไหม้เชื้อเพลิง การสร้างวัสดุ หรือการขนส่งสินค้าและบุคคล 

การประเมินค่า carbon footprint ช่วยให้เรารับรู้ถึงผลกระทบของกิจกรรมต่าง ๆ ต่อสภาพแวดล้อม และช่วยสนับสนุนในการพัฒนาแผนการจัดการที่ยั่งยืนเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในอนาคต 

การลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์เป็นหนึ่งในวิธีที่สำคัญในการต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งสามารถทำได้โดยการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพลดการใช้พลังงานจากแหล่งที่ไม่สามารถทดแทนได้ และหันมาใช้พลังงานหมุนเวียน เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม และพลังงานชีวมวล

 จากที่กล่าวไปข้างต้นว่า “คาร์บอนฟุตปริ้น” คือ ปริมาณการปล่อยและดูดกลับก๊าซเรือนกระจกที่ปล่อยออกมาจากผลิตภัณฑ์ หรือจากกิจกรรมต่าง ๆ ที่เราทำ เช่น การใช้ไฟฟ้าซึ่งคาร์บอนฟุตปริ้นนั้นสามารถแบ่งออกได้อีก 2 ประเภทคือ

  1. Carbon Footprint for Organization หรือ CFO คือ ปริมาณการปล่อยและดูดกลับก๊าซเรือนกระจก ที่เกิดขึ้นจากกิจกรรมการดำเนินงานขององค์กรซึ่งจะถูกวัดรวมอยู่ในรูปของตัน (กิโลกรัม) ของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า
  2.  Carbon Footprint Product หรือ CFP คือ ปริมาณการปล่อยและดูดกลับก๊าซเรือนกระจก ที่ปล่อยออกมาจากผลิตภัณฑ์

ปัจจัยที่มีผลต่อการคำนวณคาร์บอนฟุตพริ้นท์

      1. การใช้พลังงาน: ปริมาณพลังงานไฟฟ้าและพลังงานเชื้อเพลิงที่ใช้

      2.การขนส่ง: การใช้ยานพาหนะที่ใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล

      3.การบริโภค: ปริมาณและประเภทของสินค้าและบริการที่บริโภค

      4.การจัดการของเสีย: วิธีการจัดการกับของเสียและการรีไซเคิล

      5.การใช้ที่ดิน: การทำการเกษตรและการใช้ที่ดินอื่นๆ

         การเข้าใจและจัดการกับคาร์บอนฟุตพริ้นท์เป็นสิ่งสำคัญในการลดผล

กระทบด้านลบต่อสิ่งแวดล้อมและสภาพภูมิอากาศโลก

ทำไมต้องวัดคาร์บอนฟุตพริ้นท์?

การวัด Carbon Footprint เทียบได้กับการชั่งน้ำหนัก และเช็คคุณค่าทางโภชนาการของอาหารที่คุณกินในแต่ละวัน ซึ่งเป็นขั้นตอนสำคัญที่ต้องทำสำหรับคนที่ต้องการลดน้ำหนักอย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยการปรับพฤติกรรมอย่างถูกจุด 
ประโยชน์ของการวัดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กร เช่น

      -บริหารจัดการการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก และติดตามผลการปรับกระบวนการเพื่อลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก และลดผลกระทบที่มีต่อโลก

      -เดินหน้าสู่เป้าหมายด้านความยั่งยืนขององค์กร

      -เตรียมรายงานด้านความยั่งยืนที่มีข้อมูลครบถ้วน น่าเชื่อถือ สำหรับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งในและนอกองค์กร

 ประเมิน Carbon Footprint ของธุรกิจเริ่มต้นอย่างไร?

CFOแบ่งการปล่อยก๊าซเรือนกระจกออกเป็น 3 ประเภทดังนี้

Scope 1 การปล่อยและดูดกลับก๊าซเรือนกระจกทางตรงขององค์กร (Direct Emissions):


เช่น การปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางตรงจากองค์กร เช่น การใช้เชื้อเพลิงต่างๆ ในกระบวนการผลิต, การใช้ยานยนต์ขนส่งภายในองค์กร, การรั่วไหลของสารทำความเย็น

Scope 2 การปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางอ้อมจากการใช้พลังงาน (Indirect Emissions) :


เช่น การซื้อไฟฟ้า ไอน้ำ ความร้อน หรือความเย็น เพื่อนำมาใช้ภายในองค์กร หรือโรงงานอุตสาหกรรม

Scope 3 : การปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางอ้อมอื่น ๆ (Other Indirect Emissions) :


เช่น การปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เกิดขึ้นตามจุดต่างๆ ตลอดทั้งซัพพลายเชนที่นอกเหนือจาก 2 สโคปข้างต้น อาทิ การซื้อวัตถุดิบจากผู้ผลิตต้นน้ำ ซึ่งคิดจากการได้มาซึ่งวัตถุดิบ แปรรูป และขนส่งมายังสถานที่ผลิตของเรา รวมถึงการเดินทางทางธุรกิจที่เกิดขึ้น หรือการเดินทางของพนักงานด้วย

 CFP แบ่งขั้นตอนการประเมินการปล่อยก๊าซเรือนกระจกออกเป็น 5 ขั้นตอน ดังนี้

  1. การจัดหาวัตถุดิบ (Scope 1และ 3)
  2. การผลิต (Scope 1และ 2)
  3. การกระจายสินค้า (Scope 1และ 3)
  4. การใช้งาน/บริโภค (Scope 3)
  5. การจัดการของเสียหลังการใช้งานผลิตภัณฑ์ (Scope 3)

จะเห็นได้ว่า การวัดประเมิน Carbon Footprint เป็นกลไกที่ไม่เพียงช่วยให้องค์กรมองเห็น ‘ผลกระทบต่อโลก’ ที่สร้างขึ้นผ่านปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ปลดปล่อยออกมาในทุกๆ จุดตลอดทั้งซัพพลายเชน แต่ยังเป็นเข็มทิศให้กับองค์กรในการปรับแผนกลยุทธ์สำหรับการเปลี่ยนวิถีการทำธุรกิจของตน มองหาโซลูชั่นส์ใหม่ๆ ทั้งด้านพลังงาน กระบวนการผลิต รวมถึงจัดหาวัตถุดิบทางเลือกที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลดีต่อตัวองค์กรเอง คู่ค้า ผู้บริโภค และยังส่งผลดีต่อโลกด้วย

การบริการของวันมอร์ลิงค์

บริษัท วันมอร์ลิงค์ จำกัด รับการประเมินค่า Carbon footprint ช่วยให้เรารับรู้ถึงผลกระทบของกิจกรรมต่าง ๆ ต่อสภาพแวดล้อมและช่วยสนับสนุนในการพัฒนาแผนการจัดการที่ยั่งยืนเพื่อลดลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในอนาคต และเราได้รับการรับรองระบบ ISO 9001 และ 14001 เพื่อตอกย้ำว่าบริษัทของเรามีมาตรฐานสากล ดำเนินการถูกต้องตามกฎหมายทุกขั้นตอน และสามารถตรวจสอบได้